หากแปลเพลงนี้แบบปกติทั่วไป ก็จะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่บางทีแดดออกเปรี้ยง ๆแล้วจู่ ๆฝนก็เทลงมา
หรือบางทีอากาืศจะอบอ้าวมากและลมจะสงบนิ่งผิดปกติ โดยที่ใบไม้ไม่ไหวติงแม้สักนิด แล้วจู่ ๆก็จะมีพายุพัดโครมครามอย่างแรงตามมาจนบ้านเรืองพังพินาศกันไปที่เรียกว่าพายุฤดูร้อนเป็นต้น
มองอีกมุมเชิงเปรียบเทียบก็คือ สมัยที่เพลงนี้ถูกแต่งขึ้นมาจะเป็นยุคที่ประธานาธิบดีนิกสันอยู่ในอำนาจช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมในสงครามเวียตนามและกำลังถูกประท้วงกันอย่างหนักจากการเผยแพร่ภาพจากสื่อต่าง ๆที่แสดงให้เห็นความโหดร้ายของสงคราม
จากฝ่ายสหรัฐอเมริกาที่ไม่เฉพาะจะต้องสูญเสียทหารหนุ่มไปมากมาย ไหนจะเป็นภาพระเบิดนาปาล์มที่เป็นไฟลุกท่วมทุ่งหญ้าป่าเขา หรือจะเป็นระเบิดฝนเหลืองอาวุธเคมีทำลายพืชที่เป็นที่หลบซ่อนของเวียตกง และมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพลเมืองทำให้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ตลอดจนป่วยและทุพพลภาพร่างกายเกิดมามีอวัยวะที่ผิดปกติมาจนถึงปัจจุบันนี้
เพราะเนื้อหาของเพลงมันบ่งบอกถึงการประสบกับความยากลำบากวนเวียนไม่จบสิ้น เปรียบเทียบกับสงครามใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่ดำเนินการทำสงครามมาแล้วเกิบ 15 ปีได้ มีไปตายไปแล้วสี่หมืนกว่าคน....
สิ่งที่ผู้ชนะได้รับคือ รอยยิ้มบนคราบน้ำตาแห่งการสูญเสีย
สิ่งที่ผู้แพ้ได้รับคือ โกรธแค้นและ ธารน้ำตา
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับทั้งคราบน้ำตาและความสูญเสียจากผลของสงครามไม่ต่างกัน
สันติ และความสงบสุขที่ยาวนานจริงแท้ไม่เคยได้มาจากความรุนแรง
ความดี ที่ทำให้ห่างจาก โลภ โกรธ หลงต่างหากที่ควรยึดมั่น
ทั้งหมดเริ่มที่ เมตตาอย่าีง มีสติ ด้วยปัญญา